ก้าวนำอนาคต: ประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรับมือกับช่องว่างทางทักษะอย่างไร

image

ประเทศต่างๆ อาทิ เวียดนามและไทย อยู่ในสถานะที่เหมาะอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนทิศทางเรื่องการให้ความสำคัญภาคการศึกษา และมอบทักษะที่จำเป็นแก่เยาวชนเพื่อความสำเร็จในโลกยุคดิจิทัล 

โลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งท้ายสุดล้วนขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้เรียน สถานศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องพิเคราะห์และปรับตัวให้เข้ากับกระแสล่าสุด เพื่อเตรียมตัวและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต 
  
งานวิจัยจาก Pearson ระบุว่า จำนวนแรงงานในภูมิภาคดังกล่าวมีเพียงพอและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ที่น่ากังวลและทำให้เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องชะงักตัวก็คือ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ โดยทักษะด้านความรู้ (hard skills) เช่น ความสามารถเชิงเทคนิค และทักษะด้านอารมณ์ (soft skills) เช่น การสื่อสาร รวมถึงความตั้งใจในการใฝ่รู้ตลอดเส้นทางอาชีพ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการลดช่องว่างเรื่องการขาดแคลนทักษะ และจะทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างทัดเทียม  
  
นักเรียนที่ในวันนี้กำลังพิจารณาว่าจะศึกษาด้านใดและอย่างไร จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในปี 2030 ซึ่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยรายงานสภาวะตลาดจาก McKinsey ระบุว่า เราควรเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่โรงเรียนประถม มิเช่นนั้นในปี 2030 ผู้เรียนวัยเยาว์เหล่านี้จะพบว่าตนเองกำลังประกอบวิชาชีพอันไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ดังนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องบ่มเพาะให้ผู้เรียนมีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัว และเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ควบคู่ไปกับก้าวย่างทางการศึกษาและอาชีพ  
  
กุญแจสำคัญที่บ่งชี้ถึงลักษณะการทำงานของเราในอนาคตอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลบนโลกของเราที่เดินหน้าไม่หยุดนิ่ง หรือที่เรียกกันว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” โดยกระแสเรื่องโลกาภิวัตน์และระบบอัตโนมัติยังเปลี่ยนแปลงวิธีทำธุรกิจของบริษัทต่างๆ ซึ่งทักษะการเรียนรู้ที่ช่วยเสริมภูมิทัศน์ทางอาชีพที่กำลังเปลี่ยนไปถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในอนาคต 

โอกาสอันล้ำค่า

โชคดีที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทยและเวียดนาม มีโอกาสที่ดีด้านการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุง ปัจจุบันแรงงานชาวเวียดนามกว่าครึ่งและแรงงานชาวไทยกว่าสามในสี่อยู่ในกลุ่มแรงงานที่มี “ทักษะระดับกลาง” ตามข้อมูลล่าสุดจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ   

ทั้งสองประเทศกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ย้ายฟากจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ไปสู่เศรษฐกิจบนฐานความรู้ที่มีพลวัตมากขึ้น อันถือเป็นโอกาสที่ดีของทั้งสองประเทศในการปรับทรรศนะด้านความสำคัญทางการศึกษา และเสริมชุดทักษะที่จำเป็นต่ออนาคตให้แก่ประชากรของตน  
  
รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ไม่ได้มีเป้าหมายในภายภาคหน้าเพียงแค่การมุ่งเป้าขยายอัตราส่วนจำนวนแรงงานที่มีทักษะ แต่รวมถึงการผลิตแรงงานที่ดีเยี่ยมจนสามารถแข่งขันในตลาดโลก อันจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น   
  
ดังนั้นสำหรับทั้งสองประเทศ การศึกษาระดับอาชีวศึกษาจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนสถานศึกษาที่ดำเนินโครงการต่างๆ เช่น หลักสูตรอาชีวศึกษาเชิงประสบการณ์อย่าง BTEC จาก Pearson  

การศึกษาที่รอบด้าน 

ฝ่ายบริหารของไทยและเวียดนามต่างล้วนต้องการสร้างพัฒนาการทางทักษะด้านความรู้อันเป็นความสามารถเชิงเทคนิคที่เรียนรู้ได้เป็นการเฉพาะ เช่น คุณวุฒิทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ความชำนาญด้านการอ่านและการเขียน ตลอดจนการทักษะการนำเสนอและการบริหารโครงการ  
  
คุณสจ๊วต คอนเนอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุณวุฒิและการประเมินของ Pearson Asia ระบุว่า ทักษะเฉพาะเหล่านี้ควรได้รับการสอนโดยตรง ขณะเดียวกันก็ยังกล่าวเสริมด้วยว่า ทักษะด้านอารมณ์ที่แม้เป็นเรื่องทั่วไปและติดตัวมาแต่กำเนิด ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน อันประกอบด้วยทักษะระหว่างบุคคลอย่างความสามารถในการทำงานร่วมกัน การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ และความเข้าใจในเพื่อนร่วมงาน  
  
ที่สำคัญไม่แพ้กันอีกเรื่องก็คือทักษะด้านอารมณ์เกี่ยวกับการสื่อสาร อย่างการสอนให้ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกันภายใต้วัฒนธรรม พื้นที่ และภาษาที่ต่างกัน ซึ่งคุณไซมอน ยัง ผู้จัดการฝ่ายดูแล BTEC ในเอเชียของ Pearson มองว่า ส่วนสำคัญของทักษะด้านนี้ก็คือ ความมั่นใจในภาษาอังกฤษซึ่งถือเป็นสื่อกลางการสื่อสารหลักระดับสากล  
  
“ดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษได้กลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับการสื่อสารธุรกิจในทุกบทบาทหน้าที่” คุณไซมอนกล่าว “ในประเทศต่างๆ เช่น ประเทศไทย ซึ่งมีแรงงานในพื้นที่อันเข้มแข็ง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างแผนกต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องอาศัยความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างมาก” 
  
ในยุคที่ธุรกิจระดับโลกเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้นและพรมแดนหมดความสำคัญลง แรงงานจำนวนมากเริ่มตระหนักว่า ภาษาอังกฤษมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอาชีพ ดังเห็นได้จากงานวิจัยของ Pearson ที่พบว่า พนักงานกว่า 9 ใน 10 คน ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญ ส่วนตัวเลขที่เหลือซึ่งน้อยกว่า 1 ใน 10 นั้นเห็นว่า ความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่มีถือว่าเพียงพอแล้วกับตำแหน่งงานของตน นี่จึงถือเป็นช่องว่างทางทักษะอันสำคัญที่ควรใส่ใจ เพราะความชำนาญด้านภาษายังถือเป็นหัวใจในการขัดเกลาทักษะด้านอารมณ์หลายเรื่อง 
  
“ทักษะด้านภาษาเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้คุณได้งาน แต่คุณจะมีโอกาสถูกว่าจ้างมากยิ่งขึ้นหากมีทักษะด้านภาษา เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยในการพัฒนาทักษะอื่นๆ อีกหลายด้าน [เช่น การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน] อันจำเป็นต่อการจ้างงาน” คุณสจ๊วตกล่าว “หากคุณเป็นคนเวียดนามหรือคนไทย และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ นั่นหมายถึงคุณก็มีทักษะด้านอารมณ์อีกหลายเรื่องไปโดยปริยาย”